ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ (English Grammar)คือ โครงสร้างและกฎเกณฑ์ในการใช้ภาษาอังกฤษอย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่ช่วยให้เราสื่อสารได้ชัดเจน เข้าใจง่าย และมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการเขียน พูด หรืออ่าน หากคุณเป็นผู้เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษ การเริ่มต้นจากการเรียนรู้ไวยากรณ์อย่างเป็นระบบ จะช่วยให้คุณเข้าใจภาษาได้ลึกซึ้งและแม่นยำมากยิ่งขึ้น ในบทความนี้เราจะพาคุณไปรู้จักกับโครงสร้างไวยากรณ์ภาษาอังกฤษแบบครบถ้วน พร้อมแนวทางการเรียนให้เข้าใจง่ายที่สุด

ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษคืออะไร?
ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ หมายถึง ระบบของกฎที่ควบคุมโครงสร้างของประโยคในภาษาอังกฤษ ซึ่งประกอบด้วยส่วนต่างๆ เช่น คำกริยา (Verb), คำนาม (Noun), คำคุณศัพท์ (Adjective), คำวิเศษณ์ (Adverb) และอีกมากมาย การเข้าใจไวยากรณ์จะช่วยให้เราสามารถสร้างประโยคที่ถูกต้องตามหลักภาษาและเข้าใจบทสนทนาได้ดีขึ้น
ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษมีอะไรบ้างที่ต้องเรียนรู้?
1. Parts of Speech (ชนิดของคำ)
- Noun (คำนาม) ใช้เรียกชื่อคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ เช่น dog, teacher, happiness
- Pronoun (คำสรรพนาม) ใช้แทนคำนาม เพื่อหลีกเลี่ยงการกล่าวซ้ำ เช่น he, she, it, they
- Verb (คำกริยา) แสดงการกระทำหรือสถานะ เช่น run, eat, be, have
- Adjective (คำคุณศัพท์) ขยายความหรือบอกลักษณะของคำนาม เช่น happy, tall, red
- Adverb (คำวิเศษณ์) ขยายความของกริยา คุณศัพท์ หรือคำวิเศษณ์อื่น เช่น quickly, very, well
- Preposition (คำบุพบท) แสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำ เช่น in, on, under, with
- Conjunction (คำสันธาน) เชื่อมคำ วลี หรือประโยคเข้าด้วยกัน เช่น and, but, because
- Interjection (คำอุทาน) แสดงอารมณ์หรือเสียงร้อง เช่น Wow!, Oh!, Oops!
2. Sentence Structure (โครงสร้างประโยค)
- Simple Sentence (ประโยคความเดียว) ประโยคที่มีเพียงหนึ่งประโยคหลัก มีประธานและกริยา เช่น She plays the piano.
- Compound Sentence (ประโยคความรวม) ประโยคที่มี 2 ประโยคหลักขึ้นไป เชื่อมด้วยคำสันธาน เช่น I wanted to go out, but it was raining.
- Complex Sentence (ประโยคความซ้อน) ประโยคที่ประกอบด้วยประโยคหลักและประโยครอง โดยมีคำเชื่อม เช่น Because she was tired, she went to bed early.
3. Tense (กาลของกริยา)
ตารางสรุป Tense ทั้ง 12 แบบ
Tense | โครงสร้างประโยค | ตัวอย่าง |
---|---|---|
Present Simple | Subject + V1 | She eats breakfast. |
Present Continuous | Subject + is/am/are + V-ing | She is eating now. |
Present Perfect | Subject + has/have + V3 | She has eaten already. |
Present Perfect Continuous | Subject + has/have been + V-ing | She has been eating for 30 minutes. |
Past Simple | Subject + V2 | She ate breakfast. |
Past Continuous | Subject + was/were + V-ing | She was eating when I arrived. |
Past Perfect | Subject + had + V3 | She had eaten before he came. |
Past Perfect Continuous | Subject + had been + V-ing | She had been eating for an hour. |
Future Simple | Subject + will + V1 | She will eat later. |
Future Continuous | Subject + will be + V-ing | She will be eating at 7 PM. |
Future Perfect | Subject + will have + V3 | She will have eaten by 8 PM. |
Future Perfect Continuous | Subject + will have been + V-ing | She will have been eating for 2 hours by then. |
4. Subject-Verb Agreement (ความสอดคล้องระหว่างประธานกับกริยา)
- ใช้กริยาถูกต้องตามจำนวนของประธาน (เอกพจน์/พหูพจน์)
ตัวอย่าง:
- He works hard. (เอกพจน์)
- They work hard. (พหูพจน์)
5. Voice (เสียงของประโยค)
- Active Voice (ประธานเป็นผู้กระทำ)
- Passive Voice (ประธานเป็นผู้ถูกกระทำ)
6. Modal Verbs (กริยาช่วย)
คำกริยาช่วยที่ใช้แสดงความเป็นไปได้ ความจำเป็น หรือความสามารถ
- can, could, will, would, shall, should, may, might, must, etc.
ตัวอย่าง:
- She can speak Spanish.
- You should see a doctor.
7. Conditional Sentences (ประโยคเงื่อนไข)
ใช้เพื่อแสดงเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้น หรือสมมุติสถานการณ์
แบ่งเป็น 4 ประเภทหลัก:
- Type 0: If + Present Simple, Present Simple (ข้อเท็จจริง)
If you heat ice, it melts. - Type 1: If + Present Simple, will + V1 (เป็นไปได้ในอนาคต)
If it rains, I will stay home. - Type 2: If + Past Simple, would + V1 (ไม่จริงในปัจจุบัน/อนาคต)
If I were you, I would apologize. - Type 3: If + Past Perfect, would have + V3 (ไม่จริงในอดีต)
If she had studied, she would have passed.
8. Question Forms (รูปแบบประโยคคำถาม)
- Yes/No Questions
ตัวอย่าง: Do you like coffee?
- Wh-Questions (What, Where, When, Why, Who, How)
ตัวอย่าง: Where do you live?
ทำไมต้องเรียนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ?
- เพื่อสื่อสารได้อย่างถูกต้องและเข้าใจง่าย
ไวยากรณ์ที่ถูกต้องช่วยให้คนฟังหรือผู้อ่านเข้าใจความหมายที่เราต้องการจะสื่อ โดยไม่เกิดความสับสน เช่น “He go to school” กับ “He goes to school” มีความต่างกันที่ทำให้ดูไม่เป็นธรรมชาติ - เพื่อสอบวัดระดับภาษา เช่น TOEIC, IELTS, TOEFL
ไวยากรณ์เป็นหัวใจหลักของการสอบเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นข้อสอบแกรมมาร์โดยตรง หรือการเขียน (Writing) และการพูด (Speaking) ที่จะถูกประเมินจากโครงสร้างภาษาด้วย - เพื่อเขียนอีเมล เอกสาร หรือบทความอย่างเป็นทางการ
การใช้ไวยากรณ์ที่ถูกต้องช่วยให้เราดูเป็นมืออาชีพและได้รับความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจหรือการเรียนระดับสูง - เพื่อเสริมทักษะฟัง-พูด-อ่าน-เขียนให้ครบถ้วน
ไวยากรณ์เปรียบเหมือน “โครงกระดูก” ของภาษา หากเข้าใจไวยากรณ์ จะสามารถพัฒนาทักษะทั้ง 4 ด้านได้อย่างกลมกลืนและมั่นใจ - เพื่อใช้ภาษาอังกฤษในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนองาน ติดต่อกับลูกค้าต่างชาติ หรือเขียนรายงาน การใช้ไวยากรณ์ถูกต้องทำให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพมากขึ้น - เพื่อเสริมความมั่นใจในการใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน
เมื่อเรารู้ว่าเราใช้ภาษาถูกต้อง จะกล้าพูด กล้าเขียน และกล้าสื่อสารโดยไม่กลัวผิด
วิธีเรียนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษให้เข้าใจง่าย
- เรียนจากตัวอย่างประโยคจริง
ใช้ตัวอย่างจากชีวิตประจำวัน เช่น บทสนทนาในร้านกาแฟ หรือบทพูดในหนัง ช่วยให้เข้าใจบริบทการใช้ไวยากรณ์มากขึ้น - ใช้ตารางเปรียบเทียบช่วยจำ
เปรียบเทียบ Tense หรือโครงสร้างประโยคแบบต่างๆ เพื่อช่วยให้จำและเห็นภาพชัดเจน - ทบทวนเป็นประจำและฝึกเขียนประโยคเอง
การเขียนช่วยให้เข้าใจโครงสร้างและรูปแบบการใช้ได้แม่นยำยิ่งขึ้น เช่น เขียนไดอารี่สั้นๆ เป็นภาษาอังกฤษ - ดูหนังหรืออ่านหนังสือภาษาอังกฤษเพื่อซึมซับ
เป็นวิธีเรียนแบบธรรมชาติที่ช่วยพัฒนาทั้งไวยากรณ์และคำศัพท์ - ใช้แอปหรือเว็บไซต์สอนภาษาอังกฤษ
เช่น Duolingo, Grammarly, BBC Learning English ที่มีแบบฝึกหัดไวยากรณ์แบบโต้ตอบ ช่วยฝึกได้อย่างสนุก - ฝึกพูดกับเพื่อนหรือผ่าน AI/chatbot ภาษาอังกฤษ
การฝึกพูดจะช่วยให้รู้ว่ากำลังใช้ไวยากรณ์ได้ถูกต้องหรือไม่ พร้อมปรับปรุงได้ทันที - ตั้งคำถามกับตัวเองหรือทำ Mind Map ไวยากรณ์
เช่น “ทำไมประโยคนี้ใช้ has แทน have?” หรือ “Past Continuous ใช้เมื่อไร” การตั้งคำถามกระตุ้นให้เข้าใจลึกยิ่งขึ้น - บันทึกข้อผิดพลาดที่เคยทำไว้ทบทวน
ข้อผิดพลาดคือครูที่ดีที่สุด เมื่อเรารู้ว่าผิดตรงไหน จะช่วยให้ไม่พลาดซ้ำอีก
Common Grammar Mistakes ที่ควรหลีกเลี่ยง
- การเรียนรู้ไวยากรณ์ไม่ใช่แค่จำกฎ แต่ยังรวมถึงการระวังข้อผิดพลาดที่ผู้เรียนมักทำบ่อย เช่น:
- การใช้ Tense ผิด เช่น ใช้ Present Simple กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว
- การลืมเติม s/es กับกริยาในประธานเอกพจน์ (He go → He goes)
- ใช้ Article (a, an, the) ไม่ถูกต้อง การใช้ Preposition ผิด เช่น “depend in” แทน “depend on”
- ลำดับคำในประโยค (Word Order) ผิด เช่น “She always is happy.” → “She is always happy.”
เคล็ดลับ: อ่านและฟังจากเจ้าของภาษา แล้วลองจดจำประโยคที่ถูกต้องมาเป็นต้นแบบ
สรุป
ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษเป็นหัวใจสำคัญของการเรียนภาษา ไม่ว่าคุณจะเพิ่งเริ่มต้นหรืออยากพัฒนาต่อยอด การเข้าใจโครงสร้างไวยากรณ์จะช่วยให้คุณเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้ง่ายขึ้น มีความมั่นใจมากขึ้น และนำความรู้ไปใช้งานได้จริงในทุกสถานการณ์

Sea